การให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน, ถอนคืนการให้
การให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน, ถอนคืนการให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2551
โจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลย เป็นการตอบแทนที่จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทที่โจทก์เป็นหนี้ธนาคารอยู่ อันเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 535 (2) แม้หนังสือสัญญาให้ที่ดินระบุว่าเป็นการให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จำเลยก็มีสิทธินำสืบพยานบุคคลให้เห็นว่าการให้ตามสัญญาให้ที่ดินเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพันได้ เพราะเป็นการฟ้องถอนคืนการให้ ไม่ใช่ฟ้องร้องให้บังคับหรือไม่บังคับตามสัญญาให้ จึงไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร อันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลยเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2538 โจทก์โอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1444 ให้แก่จำเลยโดยเสน่หา แต่โจทก์ยังคงครอบครองอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท และไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้นำโค 12 ตัว ของโจทก์ไป อ้างว่าเป็นของจำเลย โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทบางส่วนเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย แต่จำเลยไม่ยินยอมและฐานะของโจทก์ยากจนลง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง และเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้ซึ่งสิ่งของจำเลยเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยยังสามารถให้ได้ เป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของบิดาโจทก์จำเลย บิดามีความประสงค์จะยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่สะดวกที่จะมารับโอนเนื่องจากต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการจำเลยจึงให้บิดาโอนบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไว้ก่อนโจทก์สัญญาว่าจะโอนบ้านและที่ดินพิพาทคืนให้แก่จำเลยในภายหลังโจทก์และครอบครัวเข้าอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทโดยจำเลยให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน ต่อมาโจทก์นำบ้านและที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้ของพี่ชายโจทก์และไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ โจทก์กับจำเลยจึงตกลงกัน โดยจำเลยจะเป็นผู้ชำระหนี้แทนโจทก์และไถ่ถอนจำนอง แต่โจทก์จะต้องจัดการโอนบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย กรณี่จึงมิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1444 ตำบลสวนหลวง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เอกสารหมาย จ.1 เดิมเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2529 โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายจำเริญ ต่อมานายจำเริญไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่ธนาคารได้ จึงมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้มาเป็นจำเลย และโจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยในวันที่ 27 มกราคม 2538 ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.2
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณหรือไม่ โจทก์ฎีการับข้อเท็จจริงว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2538 หลังจากจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว จำเลยได้กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อรับภาระหนี้แทนโจทก์สอดคล้องกับสารบัญจดทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย กรณีจึงมิใช่เป็นการให้โดยเสน่าหา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยเป็นจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1444 ตำบลสวนหลวง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เอกสารหมาย จ.1 เดิมเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2539 โจทก์ จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายจำเริญ ต่อมานายจำเริญไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่ธนาคารได้ จึงมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้มาเป็นจำเลย และโจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยในวันที่ 27 มกราคม 2538 ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.2
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณหรือไม่ โจทก์ฎีการับข้อเท็จจริงว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2538 หลังจากจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว จำเลยได้กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อรับภาระหนี้แทนโจทก์สอดคล้องกับสารบัญจดทะเบียนที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งระบุว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2538 โจทก์ไถ่ถอนจำนองจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แล้วจึงจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยและในวันเดียวกันจำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยกู้เงิน 150,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 จึงรับฟังได้ว่า โจทก์ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นการตอบแทนที่จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท อันเป็นการให้สิ่งมีค่าภาระติดพัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (2) แม้หนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.2 จะระบุว่าเป็นการให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จำเลยก็มีสิทธินำสืบพยานบุคคลให้เห็นว่าการให้ตามสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.2 นั้นเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพันได้ เพราะคดีนี้เป็นการฟ้องถอนคืนการให้ ไม่ใช่คดีฟ้องร้องให้บังคับหรือไม่บังคับตามสัญญาให้ จึงไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร อันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข) ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนจำเลย
( อิศเรศ ชัยรัตน์ - สถิตย์ ทาวุฒิ - พงษ์ศักดิ์ วีระเสถียร )
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 535 การให้อันจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าจะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ คือ
(1) ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
(2) ให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน
(3) ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
(4) ให้ในการสมรส