เพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป
เพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป
โจทก์เช่าที่ดินจำเลยทั้งสามต่อเติมหลังคาตึกแถวดังกล่าวยื่นล้ำเข้ามาในที่ดินที่เช่าอันเป็นการรบกวนสิทธิการครอบครองที่ดินของโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องจำเลยให้รื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมออกมาจากตึกแถวของจำเลยซึ่งกีดขวางการใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2546
สัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับเทศบาลระบุให้โจทก์ใช้ที่ดินที่เช่าเป็นสถานที่จอดรถสำหรับกิจการโรงแรมของโจทก์ ดังนั้นการที่จำเลยติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่าทำให้โจทก์ไม่สามารถจะใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินได้โดยสะดวกเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายในการใช้ที่ดิน แม้โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าที่ดินจากเทศบาลแต่การเช่าที่ดินก็เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการโรงแรมของโจทก์ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337 แม้ว่าจำเลยติดตั้งหลังคาตึกแถวก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่าที่ดินจากเทศบาลก็หาเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียสิทธิดังกล่าวไปไม่ โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องจำเลยให้รื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมออกมาจากตึกแถวของจำเลยซึ่งกีดขวางการใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2530 โจทก์เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 15917 เนื้อที่87.5 ตารางวา ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเทศบาลเมืองโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีกำหนด 20 ปีจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของตึกแถว 2 ห้อง เลขที่ 70 และเลขที่ 72 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 15887 และเลขที่ 15888 เมื่อปี 2535 ถึงปี 2536 จำเลยทั้งสามต่อเติมหลังคาตึกแถวดังกล่าวยื่นล้ำเข้ามาในที่ดินของเทศบาลเมืองโพธาราม มีความยาว 8 เมตร กว้าง 3 เมตร อันเป็นการรบกวนสิทธิการครอบครองที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่าไม่ได้เต็มเนื้อที่ ผู้ใช้บริการโรงแรมที่มีรถบรรทุกหกล้อขึ้นไป ไม่สามารถนำรถเข้ามาจอดได้เพราะติดหลังคาตึกแถวของจำเลยทั้งสาม ผู้มาพักโรงแรมจึงลดลงทำให้โจทก์ขาดรายได้เดือนละ 3,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนหลังคากันสาดที่ต่อเติมออกมาจากตึกแถวเลขที่ 70 และเลขที่ 72 ถนนทรงพล ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 15887 และเลขที่ 15888 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ออกไปให้พ้นที่ดินโฉนดเลขที่ 15917 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะรื้อถอนหลังคาออกไป
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 15887 และเลขที่15888 พร้อมตึกแถวเลขที่ 70 และเลขที่ 72 จากนางกุหลาบ แซ่ตั้ง ภริยาโจทก์ ตั้งแต่ปี 2527 และติดตั้งหลังคาด้านหลังของตึกแถวใช้ประโยชน์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2527 ก่อนที่โจทก์จะเช่าที่ดินจากเทศบาลเมืองโพธาราม ไม่ได้ต่อเติมในปี 2535 ถึงปี 2536โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ผู้ใช้บริการโรงแรมของโจทก์ไม่สามารถนำรถบรรทุกหกล้อเข้ามาจอดได้ เนื่องจากติดโครงเหล็กประตูของตลาดสดเทศบาลซึ่งอยู่ต่ำกว่าหลังคาตึกแถวของจำเลยทั้งสาม จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมออกจากตึกแถวเลขที่ 70 และเลขที่ 72 ถนนทรงพล ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 15887 และเลขที่ 15888 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี ให้ออกไปให้พ้นที่ดินโฉนดเลขที่ 15917 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2531 โจทก์เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 15917 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 87.5 ตารางวา จากเทศบาลเมืองโพธาราม มีกำหนดระยะเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2531 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ส่วนจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15887 และเลขที่ 15888 ตำบลโพธาราม อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี และตึกแถวเลขที่ 70 และเลขที่ 72 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 โดยจำเลยทั้งสามได้ติดตั้งหลังคากันสาดด้านหลังตึกแถวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่าไว้ โจทก์ต้องการใช้ที่ดินที่เช่าจากเทศบาลเมืองโพธารามบริเวณด้านหลังตึกแถวของจำเลยทั้งสามเป็นที่จอดรถของผู้มาพักโรงแรมของโจทก์ จึงขอให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนกันสาดดังกล่าวออกไป แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่าจากเทศบาลเมืองโพธารามหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับเทศบาลเมืองโพธารามตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 3 ระบุให้โจทก์ใช้ที่ดินที่เช่าดังกล่าวเป็นสถานที่จอดรถสำหรับกิจการโรงแรมแสนสุขโฮเต็ลของโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสามติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่าใช้ในกิจการโรงแรมของโจทก์เช่นนี้ ทำให้โจทก์ไม่สามารถจะใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวได้โดยสะดวก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายในการใช้ที่ดินดังกล่าว แม้โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าที่ดินจากเทศบาลเมืองโพธารามแต่การเช่าที่ดินดังกล่าวก็เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการโรงแรมของโจทก์เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337 ทั้งนี้ แม้ว่าจำเลยทั้งสามติดตั้งหลังคาตึกแถวก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากเทศบาลเมืองโพธารามก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียสิทธิดังกล่าวไปไม่โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป โดยฟ้องจำเลยทั้งสามให้รื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมออกมาจากตึกแถวเลขที่ 70 และเลขที่ 72 ของจำเลยทั้งสามซึ่งกีดขวางการใช้ประโยชน์จากที่ดินโฉนดเลขที่ 15917 ดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
( สดศรี สัตยธรรม - วิรัช ลิ้มวิชัย - มานะ ศุภวิริยกุล )