เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารและฐานพาผู้อื่นไป เพื่อการอนาจาร การกระทำเพื่อการอนาจาร เป็นเจตนาพิเศษที่มุ่งประสงค์ที่จะกระทำการอันไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของผู้อื่น จึงมิใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด อันจะต้องบรรยายมาในฟ้อง แต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำพยานเข้าสืบได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3214/2553
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารและฐานพาผู้อื่นไป เพื่อการอนาจาร โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อการอนาจาร แม้ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงรายละเอียดว่าจำเลยกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายด้วยวิธีการอย่างไร ฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์ เพราะการกระทำเพื่อการอนาจาร เป็นเจตนาพิเศษที่มุ่งประสงค์ที่จะกระทำการอันไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของผู้อื่น จึงมิใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด อันจะต้องบรรยายมาในฟ้อง ตามป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำพยานเข้าสืบได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายตามป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ,284 ,295 , 310, 318 , 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก,284 วรรคแรก,310 วรรคแรก,318 วรรคสาม,391 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากผู้เยาว์โดยไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 4 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี ฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก 1 ปี ฐานทำร้ายร่ายกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 21 ปี 1 เดือน คำให้การของจำเลยในชั้นพิจารณาพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 14 ปี 20 วัน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก,319 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาบุคคลอายุเกินกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไป เพื่อการอนาจาร โดยผู้นั้นยินยอม จำคุก 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจ จำคุก 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังและทำร้ายร่ายกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 9 ปี 1 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 20 วัน ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารและฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงรายละเอียดว่าจำเลยกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายด้วยวิธีการอย่างไร เห็นว่า คำฟ้องที่บรรยายว่าเพื่อการอนาจารนั้น เป็นเจตนาพิเศษที่มุ่งประสงค์ที่จะกระทำการอันไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของผู้อื่น จึงมิใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด อันจะต้องบรรยายมาในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำพยานเข้าสืบได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) 284 วรรคแรก และ 318 วรรคสาม หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย และไม่ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา เห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุผลให้รับฟัง ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ที่ฟังว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยและไม่ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราเสียน้ำหนักไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) 284 วรรคแรก และ 318 วรรคสาม ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการที่จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) และฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ในแต่ละวันจำเลยมีเจตนาเดียวกันคือต้องการพาผู้เสียหายไปกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 295 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก และมาตรา 319 วรรคแรกโดยที่โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรกและมาตรา 318 วรรคสาม ตามที่โจทก์ฟ้องจึงต้องลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความตามฟ้อง ไม่จำต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 283 ทวิ วรรคแรกและมาตรา 319 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษา ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก และมาตรา 391 หรือไม่ ในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาเพียงพาผู้เสียหายไปปรับความเข้าใจที่บ้าน เมื่อผู้เสียหายเข้าใจแล้วจำเลยก็ตั้งใจจะไปส่งผู้เสียหายแต่มารดาผู้เสียหายมารับเสียก่อน เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีส่อแสดงว่าจำเลยมีเจตนาให้ผู้เสียหายอยู่ในบ้านจนกว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากบ้าน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายต้องปราศจากเสรีภาพ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเพราะจำเลยจับมือผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายปล่อยมีดคัดเตอร์เท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายคือ การกระทำที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตบ ชก และกระชาก ผู้เสียหาย โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยบิดมือผู้เสียหายที่ถือมีดคัตเตอร์แล้วมีดไปบาดถูกมือผู้เสียหาย การที่จำเลยฎีกาว่าไม่มีเจตนาให้มีดบาดมือผู้เสียหาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ แม้ชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างไร การที่จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาซ้ำอีก ถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาและไม่ได้เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ได้ ที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหามาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
อนึ่ง แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 มาตรา 3 ยกเลิกความในมาตรา 276 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) 284 วรรคแรก และ 318 วรรคสาม การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) และ 284 วรรคแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี รวม 2 กระทง ลดโทษกระทงละหนึ่งในสาม เป็นจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน และลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม จำคุก 5 ปี รวม 2 กระทง ลดโทษกระทงละหนึ่งในสาม เป็นจำคุก กระทงละ 3 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก และ 391 แล้วรวมเป็นโทษจำคุก 10 ปี 32 เดือน 20 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
( ตรีวุฒิ สาขากร - พิทักษ์ คงจันทร์ - เฉลียว พลวิเศษ )
ศาลอาญา - นางปัญจมา นรัตถรักษา กิจนิธี
ศาลอุทธรณ์ - นายณรงค์ศักดิ์ เนียมนัด