ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยปลอมบัตรเครดิตธนาคารแล้วใช้บัตรเครดิตดังกล่าวรูดกับเครื่องรูด บัตรเครดิตซึ่งธนาคารให้ไว้แก่จำเลยและปลอมเซลสลิปของบุคคลหลายคนเพื่อแสดงว่าผู้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตได้ซื้อหรือใช้บริการด้วยบัตรเครดิตดังกล่าว จำเลยกระทำอยู่หลายครั้งอย่างมีระบบเป็นลักษณะมืออาชีพพฤติการณ์เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศจึงไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลยแต่ภายหลังกระทำผิดจำเลยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย โดยชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายจนผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง จึงสมควรวางโทษให้เบาลง
___________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 264, 265, 268, 341 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268, 341 เป็นความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษฐานฉ้อโกงจำคุก 3 ปี ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน พิเคราะห์รายงานสืบเสาะแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงและมีการนำบัตรเครดิตปลอมมาเรียกเก็บเงินถึง 83 ฉบับ เป็นเงิน627,755 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวมจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์จำเลยไม่ค้าน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้ปลอมบัตรเครดิตธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวรูดกับเครื่องรูดบัตรเครดิตซึ่งธนาคารให้ไว้แก่จำเลยและปลอมเซลสลิปของบุคคลหลายคนแสดงว่าผู้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตได้ซื้อหรือใช้บริการด้วยบัตรเครดิตดังกล่าว จำเลยกระทำอยู่หลายครั้งอย่างมีระบบเป็นลักษณะมืออาชีพ พฤติการณ์เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำเลยนั้นชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ภายหลังกระทำผิดจำเลยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย โดยชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย จนผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง สมควรวางโทษให้เบาลง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่การใช้เอกสารสิทธิปลอมเกิดจากการทำปลอมเอกสารสิทธิด้วยให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
(อุระ หวังอ้อมกลาง-เสริม บุญทรงสันติกุล-สิงหะ สัตยธรรม)
แหล่งที่มา
สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
แผนก
หมายเลขคดีแดงศาลชั้นต้น
หมายเหตุ
หากมีข้อสงสัยประการใดติดต่อ ที่นี้เลย Tel/Line id : 089-2142456 (ทนายสอง ประธานชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
Line id : lawyer_ ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
ท่านสามารถเข้าเยี่ยมชมศึกษาข้อกฎหมาย คำพิพากษา ได้ที่ www.ปรึกษาคดีฟรี.com